พญาบึ้ง ใครเสี่ยงโชคต้องรู้ไว้

เชื่อว่าใครที่เป็นสายของการเสี่ยงโชคหรือการเล่นหวยนั้น แน่นอนว่าจะต้องรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าพญาบึ้งอย่างแน่นอน โดยสัตว์ชนิดนี้ก็สามารถพบได้ตามแหล่งธรรมชาติทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะหากันได้ค่อนข้างยากอีกทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์แต่คนไทยก็เชื่อว่ามันสามารถที่จะให้โชคได้นั่นเอง แล้วพญาบึ้งคืออะไรทำไมจึงมีความเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงดวงและการให้โชคกับมนุษย์นั้น วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณได้กระจ่างกัน พญาบึ้ง คืออะไร พญาบึ้ง หรือ อีบึ้ง คือ แมงมุมชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่และไม่ชักใยตามบ้าน อาศัยอยู่ในรูดิน ในบางสายพันธุ์ก็จะอาศัยอยู่ในต้นไผ่ ซึ่งเป็นสกุลใหม่ของโลกในเมืองไทยที่เพิ่งพบเจอ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะอาศัยด้วยการขุดรูดินเสียทั้งนั้น ซึ่งธรรมชาติของบึ้งนั้นเวลาที่อยู่ในรูดินจะมีการฉาบใหญ่ผนังรูเอาไว้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากสัตว์ร้ายหรือจากไรต่าง ๆ อีกทั้งการทำเช่นนี้ก็ยังทำให้พวกมันสามารถรับรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกจากแรงสั่นสะเทือนของเส้นใยได้อีกด้วย พญาบึ้งจะมีดวงตาที่เล็กมาก ๆ มักจะใช้ประสาทสัมผัสผ่านขนของตัวมันเองในการรับรู้แรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากใย ซึ่งพวกมันมักจะออกจากรูในเวลากลางคืนเพื่อไปหากิน และในเวลากลางวันก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนโดยพอเส้นใยปิดปากดูเอาไว้ นิสัยส่วนตัวของบึ้งจะเป็นสัตว์ที่รักความสะอาดมาก ๆ และมักจะทำความสะอาดใย รวมไปถึงรูดินของตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งชาวบ้านในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นจะรู้จักสัตว์ชนิดนี้เป็นอย่างดี เพราะมักจะขุดหาตัวผึ้งมากินเป็นอาหารนั่นเอง ซึ่งสาเหตุที่หลาย ๆ คนเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าพญาบึ้งนั้น ก็มาจากความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อในการเสี่ยงทายดวงและโชคลาภ อย่างในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมาบึ้งได้ให้โชคกับชาวบ้านและหลาย ๆ คนในหลายงวดโดยใช้วิธีดันกระดาษที่มีตัวเลขออกมาจากรูของมัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับหลักธรรมชาติหรือชีวภาพแล้วด้วยความรักสะอาด หากมีสิ่งใดที่ไม่ใช่ของของมันหล่นลงไปภายในรูนั้น มันก็มักจะดันสิ่งเหล่านั้นออกไปเพื่อทำให้ร่างของมันมีความสะอาดและน่าอยู่นั่นเอง และเช่นเดียวกันที่ในปัจจุบันเขายังมีผู้คนมากมายที่ได้นำเอาพญาบึ้งมาเป็นสัตว์นำโชคหรือเสี่ยงโชคอีกด้วย รวมไปถึงยังเชื่อว่ารู้บึ้งที่ศักดิ์สิทธิ์และจะให้โชคลาภได้ดีนั้นต้องหันปากดูไปทางทิศตะวันออกซึ่งนั่นก็เป็นเพียงกุศโลบายของชาวบ้านที่ทำให้การบูชาหรือการเสี่ยงทายถูกจำกัดไม่ให้มีการรุกรานบึ้งมากจนเกินไปนั่นเอง https://www.youtube.com/watch?v=39t8fJEcNWU

ทําไมพระพรหมมี 4 หน้า

พระพรหมมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ 1 ใน 3 ตรีมูรติของศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยเป็นที่เคารพศรัทธามาอย่างยาวนาน และยังเชื่อว่าพระพรหมเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ รวมไปถึงยังสามารถกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนและรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของสรรพชีวิต​ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากใครที่ได้ไปอธิษฐานขอพรกับท่านแล้วเขาผู้นั้นก็จะถูกรับฟังคำอธิษฐานเสมอ จึงทำให้มีผู้คนมากมายต่างพากันไปบูชาพระพรหมและทำความดีเพื่อที่จะได้รับพรนี้อย่างสมหวังทุกประการ             โดยลักษณะของพระพรหมจะมี 4 พระพักตร์  4 แขนและ 4 มือ เหลืองทองอร่าม มือด้านขวาบนถือลูกประคำ มือด้านซ้ายบนคือหนังสือ มือด้านซ้ายล่างถือหม้อน้ำ และมือด้านขวาล่างใช้มอบสิ่งของให้กับผู้ที่เชื่อมต่อกับท่าน โดยพระพักตร์ทั้ง 4 มีดังนี้ พระพักตร์เมตตา ประทานพรเกี่ยวกับเรื่องงานการศึกษาและการรับผิดชอบในชีวิต พระพักตร์กรุณา ประทานพรเรื่องอสังหาริมทรัพย์ บ้าน รถ ที่ดิน พระพักตร์มุทิตา ประทานพรเรื่องสุขภาพคู่ครองและครอบครัว พระพักตร์อุเบกขา ประทานพรเรื่องโชคลาภเงินทองและการขอบุตร             โดยพระพักตร์ทั้ง 4 ของพระพรหมแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท โดยคัมภีร์พระเวทนี้เป็นคัมภีร์โบราณที่มีความเก่าแก่และถูกบันทึกไว้เป็นภาษาสันสกฤต และเชื่อว่าคัมภีร์นี้ถูกถ่ายทอดมาจากพระพรหมโดยจะมีการถ่ายทอดมาจาก 2 ทางคือ ศรุติ ความรู้จากการได้ยินหรือเสียงทิพย์เสียงสวรรค์ และ สมฤติ คัมภีร์ที่เขียนบันทึกมาจากภายหลังเพื่อขยายความพระเวทบทต่าง ๆ             นอกจากนี้พระพักตร์ทั้ง 4 ด้านของพระพรหมยังเป็นสัญลักษณ์…

ตำนานเจ้าพ่อเขาใหญ่

            หากใครได้ไปเยือนเกาะสีชัง แน่นอนว่าจะต้องเข้าไปทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่เป็นอันดับแรกซึ่งศาลแห่งนี้เป็นที่เคารพของชาวชลบุรีมาอย่างช้านานโดยความเชื่อของชาวบ้านจากรุ่นสู่รุ่นทำให้ความขลังและมีความน่าพิศมัยชวนให้ได้หลงใหลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ของพ่อค้าแม่ขายและคนเดินเรือต่าง ๆ เมื่อได้ยินชื่อของเจ้าพ่อเขาใหญ่ต่างก็จะยกมือกราบไหว้กันแบบทันทีทันใด เพราะรู้ถึงพุทธคุณจากการบูชาและสักการะตามตำนานที่ได้เล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน             โดยในสมัยอดีตบริเวณเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจุดในการเดินทางค้าขายที่มีความคึกคักเรือนับร้อยลำจอดอยู่ทั่วรอบเกาะเพื่อขนส่งสินค้าทางเข้าและออก ซึ่งก็นับว่าเป็นแหล่งคนถ่ายสินค้าทางทะเลแห่งเดียวของประเทศไทยที่ไม่ต้องใช้ท่าเทียบเรือเนื่องจากมีภูมิประเทศที่เหมาะสมและอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเพียงแค่ 12 กิโลเมตร นอกจากนี้บริเวณเกาะสีชังและเกาะบริเวณก็ยังเป็นชัยภูมิ ที่เรือสามารถจอดรถคลื่นลมได้เป็นอย่างดีจึงไม่จำเป็นต้องมีท่าเรือแต่อย่างใด             เล่ากันว่าในสมัยก่อนพ่อค้าเรือสำเภาชาวต่างชาติและพ่อค้าชาวจีนบริเวณภูเขาหัวเกาะสีชังหรือเขาคยาศิระที่เรียกกันในปัจจุบันจะปรากฏแสงสว่างในเวลาค่ำคืนอย่างสุกใสและมีความน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยแก่ผู้ที่ได้พบเห็น จึงได้พากันเข้าไปสำรวจในบริเวณนั้นและได้พบกับหินที่มีรูปร่างคล้ายกับเจ้าพ่อเขาใหญ่ภายในทับ ลักษณะนั่งประทับอยู่ จึงเกิดความศรัทธาและต่างพากันสักการะบนบานขอให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าให้มีความมั่งคั่งรุ่งเรือง ซึ่งเมื่อสิ่งที่ขอไปประสบผลสำเร็จจึงได้มีการก่อสร้างเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ขึ้น โดยเชื่อว่าศาลแห่งนี้สร้างตั้งแต่ปีพ.ศ 2435 หรือเป็นระยะเวลา 132 ปี             หลังจากข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของการพบเห็นนี้ได้แพร่สะพัดออกไปก็ทำให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสกันเป็นวงกว้างทำให้ผู้ที่มีความเชื่อและความเลื่อมใสต่างพากันเข้ามาสักการะ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก  อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่ชาวไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังมีชาวต่างประเทศหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย หรือจะเป็นไต้หวัน ก็มีอีกเช่นเดียวกัน ทำให้มีศิษยานุศิษย์มากมาย โดยจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวได้สักการะในเทศกาลสำคัญ เช่น ประเพณีไหว้ตรุษจีนของทุกปี ประเพณีนมัสการเจ้าพ่อเขาใหญ่ มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง            

ตำนาน วารีกุญชร

วารีกุญชร สัตว์ในตำนานจากป่าหิมพานต์ที่ผู้คนมากมายต่างยกให้เป็นสัตว์วิเศษมีขนาดเล็กประมาณฝ่ามือมือ อยู่อาศัยกันเป็นโขลง โดยมีความเชื่อว่าหากผู้ใดที่ได้บูชาหรือได้ครอบครองวารีกุญชร เขาผู้นั้นจะได้รับความปลอดภัยจากสัตว์ป่าดุร้ายรวมไปถึงยังส่งเสริมอำนาจวาสนาบารมีทางด้านการงานและการเงิน โดยคนไทยส่วนใหญ่ที่ได้รู้จักกับวารีกุญชรก็มักจะมีเรื่องราวที่นำมาเล่าต่อ ๆ กันจนเกิดเป็นวัตถุมงคลที่คนไทยส่วนใหญ่อยากครอบครองเอาไว้เพื่อเสริมอำนาจบารมีและวันนี้เรามีตำนานของวารีกุญชรมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน ตำนานเล่าขาน วารีกุญชร             วารีกุญชร หรือ ช้างน้ำ สัตว์ในป่าหิมพานต์ที่มีรูปร่างเป็นช้างหางเป็นปลาซึ่งจะแตกต่างกับกุญชรวารีที่จะมีเท้าหน้าเพียง 2 เท้าส่วนลำตัวและหางจะเป็นปลาทั้งหมดอาศัยอยู่ในทะเลสีทันดรสามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้ดี โดยจากรูปปั้นหรือจิตรกรรมฝาผนังต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงลักษณะของวารีกุญชรที่จะเป็นช้างผิวสีชมพูอมม่วง มีเครื่องชงระดับอยู่บริเวณขาจะมีครีบและมีส่วนต่าง ๆ เช่นเดียวกับช้างบกปกติ             ซึ่งมีเรื่องเล่าในไทยเมื่อหลาย 10 ปีก่อน จากพระธุดงค์องค์หนึ่งที่ได้ไปธุดงค์ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อำเภอสังขละบุรีจังหวัดกาญจนบุรีโดยในช่วง 1 คืนก่อนวันเข้าพรรษาท่านใดพบกับสัตว์ขนาดเล็กที่กำลังเล่นน้ำอยู่และเมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าเป็นช้างที่มีขนาดเล็กโดยขนาดของพวกมันก็ไม่เกินกล่องไม้ขีดไฟ ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ชาวกะเหรี่ยงเชื่อกันว่าเป็นช้างน้ำซึ่งเป็นสัตว์พิเศษที่แม้แต่สัตว์ใหญ่ยังเกรงกลัว             และอีกหนึ่งเหตุการณ์ในช่วงกลางปี 2539 บริเวณป่าชายแดนไทยพม่า ก็ได้มีผู้พบซากของช้างน้ำที่มีขนาดเล็กจิ๋วจนสามารถวางบนฝ่ามือได้จึงได้มีการนำไปเอกซเรย์และพบว่าภายในก็มีโครงกระดูกต่าง ๆ เหมือนกับช้างจริง ๆ นั่นจึงทำให้เป็นที่มาของวัตถุมงคลที่เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งชาวกะเหรี่ยงและชาวไทยต่างให้การบูชาและเคารพนับถือมาจนถึงปัจจุบัน วารีกุญชร ความเชื่อ ความเชื่อเกี่ยวกับวารีกุญชรเชื่อว่าหากผู้ใดที่ได้บูชาและได้ครอบครองวารีกุญชรนี้ หากผู้นั้นมีเหตุให้เดินทางเข้าป่าหรือต้องพบเจอกับสัตว์ดุร้ายใด ๆ ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย เนื่องจากวารีกุญชรเป็นสัตว์วิเศษที่แม้แต่สัตว์ขนาดใหญ่หรือสัตว์ดุร้ายมากเพียงใด ก็ยังต้องยำเกรง อีกทั้งยังเสริมวาสนาให้กับผู้เป็นเจ้าของ ทางด้านการเงินและการงานให้เกิดความสุขในชีวิตอีกด้วย          https://www.youtube.com/watch?v=1Bvt3ztAPd4

ดอกรัก ความเชื่อ วัตถุมงคล

ดอกรัก ไม้มงคลที่มีความหมายดี และเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แต่คนโบราณได้พูดถึงดอกรักนี้ว่าห้ามปลูกเอาไว้ในบริเวณบ้านเพราะหากปลูกต้นไม้ชนิดนี้เอาไว้อาจจะทำให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็น การมีรักซ้อน หรืออาจทำให้ความรักเกิดความยุ่งยากได้ และในทางวิทยาศาสตร์ก็ได้อธิบายว่ายางของดอกรักเป็นพิษ และไม่ควรที่จะนำมาปลูกในบริเวณบ้านนั่นเอง ซึ่งในด้านวัตถุมงคล “ดอกรัก” ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนมากมายต่างบูชาในด้านการเรียกรักเป็นอย่างมาก จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้างก็มาดูกันเลย ดอกรัก ดอกไม้มงคล สู่วัตถุมงคล ด้านความรัก             ดอกรัก ลักษณะทางกายภาพ จะมีสีขาวหรือเป็นสีม่วง โดยจะออกดอกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบและมีรยางค์คล้ายมงกุฎ 5 สัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งไม้มงคลที่ผู้คนมากมายชื่นชอบ เพราะมีกลิ่นหอมและยังนิยมมาใช้ในการร้อยพวงมาลัย รวมไปถึงการทำพิธีทางศาสนาต่าง ๆ เนื่องจากหอมนานและเหี่ยวเฉาได้ยากนั่นเอง             โดยดอกรักมีความเชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่ให้คุณทางด้านเสน่ห์ในทางไสยศาสตร์ เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับด้านความรัก ซึ่งในวิชาโบราณจะมีวิชาดอกรัก ซึ่งจะมีการดูวันขุดของต้นรักที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินำมาปลูก แล้วนำดินอาถรรพ์มารองกระถางเพื่อปลูกให้เป็นดอกขึ้นมา โดยจะมีช่วงเวลาในการเก็บดอกเพื่อนำมาห่อผ้ายันต์แล้วนำมาพกติดตัวเอาไว้ และมีความเชื่อว่าหากพกติดตัวจะทำให้มีเสน่ห์เมตตามหานิยม และในปัจจุบันได้นำเอาดอกรักนี้มากทำเป็นวัตถุมงคล โดยนำเอาเนื้อโลหะฟ้าผ่า เช่น ทองแดงฟ้าผ่าหินขวานฟ้าหรือโลหะใด ๆ ก็ตามที่มาจากฟ้าผ่าทั้งหมด มาเป็นมวลสาร เพื่อเปรียบเสมือนความรักและเมตตามหานิยมต้องหน้าต้องตา พบรักแบบฟ้าผ่าโดนจิตโดนใจนั่นเอง บูชาดอกรักยังไงให้ได้ผลดี             การบูชาดอกรักให้ได้ผลดีนั้น นิยมนำมาพกติดตัวเอาไว้ ซึ่งสามารถที่จะดูแลรักษาง่าย จะพกสูงหรือพกต่ำก็ได้…

“เต่ามังกร” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวจีน

            เต่ามังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีน ที่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและอำนาจบารมี รวมไปถึงความมั่นคงและความแข็งแรง ซึ่งนับว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีนที่จัดอยู่ในจตุรเทพและยังมีผู้คนมากมายให้การเคารพศรัทธาบูชาเพื่อเสริมความมั่นคงและอำนาจบารมี เพิ่มความมั่นคงทางด้านสุขภาพอนามัยให้ผู้บูชามีอายุที่ยืนยาวอีกด้วย โดยในวันนี้เราได้นำเอาความน่าสนใจของเต่ามังกรมาให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น เต่ามังกร สุดยอดเครื่องรางปารถนาของชาวจีน             เต่ามังกร หรือ ชิงถงถัวหลง เป็นชื่อเรียกของโบราณวัตถุในพระราชวังกู้กง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของพระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จึงต่อมังกรถือเป็นสัตว์ที่มีพลังอำนาจสูงมาก ๆ เพราะเป็นการรวมมหาภารังของมังกรและเต่าเอาไว้ในหนึ่งเดียว และยังเป็นสัตว์แห่งสรวงสวรรค์ทั้ง 2 ชนิดจาก 4 จตุรเทพของจีน ที่เปลี่ยนไปด้วยพลังแห่งความกล้าหาญอำนาจบารมีศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่และความปรีชาสามารถของมังกรควบคู่กับสุขะพละที่ยืนยาวความมั่นคงและอายุวัฒนะของเก่าที่เมื่อรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พลังอนุภาพของวัตถุมงคลชนิดนี้แกร่งกล้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเต่ามังกรเป็นสุดยอดเรื่องราวปรารถนาของชาวจีนที่ได้สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อ เต่ามังกร             มีความเชื่อว่าหากใครที่ได้เป็นเจ้าของเต่ามังกร ผู้นั้นจะเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูงส่งและยังมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง อายุยืนนาน โดยเต่าเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ที่มีอายุยืน ซึ่งหากวางรูปปั้นเต่าเอาไว้ในบ้านก็จะทำให้ผู้สูงอายุในบ้านมีอายุยืนนานและยังทำให้ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ หายป่วยได้ส่วนคนหนุ่มคนสาวก็จะมีโชคลาภและเด็กเล็กกเจริญเติบโตมาเป็นอย่างดีและสุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้เต่าเพื่อสลายพลังปราณชี่ โดยการพันทิปทางไปยังทิศที่มีปราณชี่พิฆาตต่าง ๆ             โดยวัตถุมงคลอย่างเต่ามังกรนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มของนักธุรกิจ ผู้บริหาร และพ่อค้าแม่ขายต่าง ๆ จึงเชื่อว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่นำไปสู่ความสำเร็จทั้งลาภยศและเงินทอง และแนะนำให้ตั้งเอาไว้ทางทิศขวามือโดยให้ยึดหลักการยืนหันหน้าออกสู่ประตูเป็นหลัก หากทางขวามืออยู่ทางใด ก็ให้ตั้งเต่ามังกรไว้ทิศทางนั้นและห้ามให้มังกรหันหัวออกข้างนอก แต่ให้หันเข้ามาข้างในจึงจะถือว่าดีมากนั่นเอง https://www.youtube.com/watch?v=plc6VnRoT2k

จี้กง หลวงจีนผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ แต่ชาวบ้านทำไมเรียกท่าน “พระบ้า”

จี้กงหนึ่งในตัวละครทีวีและนิทานพื้นบ้านของจีนที่ถูกนำมาสร้างเป็นหนังและภาพยนตร์อย่างหลากหลาย โดย “จี้กง” นั้น ก็เป็นหลวงจีนที่มีเนื้อตัวมอมแมม นุ่งห่มจีวรเก่า ๆ ขาด ๆ และยังชอบดื่มเหล้า กินเนื้อ ซึ่งจะแตกต่างกับพระมหายานที่จะฉันมังสวิรัติทำให้ชาวบ้านต่างพากันเรียกท่านว่า “พระบ้า” และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่นิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อ ๆ กันมาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วจี้กงมีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์ ที่วันนี้เราจะพาคุณไปสืบเสาะหาประวัติของพระอรหันต์ผู้นี้กัน ประวัติ จี้กง             จี้กง มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1130 ถึง 1209 ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ โดยมีนามเดิมว่า หลี่ซิวหยวน โดยครอบครัวของเขาเป็นสายบุญที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาและมักที่จะทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำ ทำให้จี้กงนั้นมีความรักและผูกพันกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้ออกบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ซึ่งเมื่อท่านได้ออกบวชแล้วก็ได้รับฉายาว่า “เต้าจี้” และจำพรรษาอยู่ที่วัดกั๋วชิงซื่อ และหลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดหลิงอิ่นซื่อในเมืองหลินอานที่ในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหางโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว             จี้กงได้บำเพ็ญเพียรและศึกษาพระพุทธศาสนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยลักษณะภายนอกของท่านที่ชอบทำตัวแปลก ๆ ทั้งพูดจาไม่สำรวม ไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบนั่งสมาธิ นุ่งห่มจีวรที่ขาด ๆ มีการปักและซ่อมแซมอยู่บ่อยครั้ง แถมยังชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันกล่าวขานท่านว่าเป็นพระบ้าในดงอรหันต์นั่นเอง อีกทั้งจี้กงก็มักจะปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่บาดเจ็บหรือตกทุกข์ได้ยาก ส่วนการปราบปีศาจก็ยังมีวิธีการที่ค่อนข้างแปลกประหลาดอีกเช่นเดียวกัน เช่น…

พระราหู เทพอสูรนำพาโชคลาภ

พระราหู เทพอสูรนำพาโชคลาภโดยปกติคนทั่วไปมักเข้าใจกันว่า “พระราหู” เป็นเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่นำสิ่งไม่ดีต่าง ๆ นานา เคราะห์กรรม และทุกข์ภัย แต่แท้จริงแล้วพระราหูยังให้ผลทางโชคลาภอีกด้วย ซึ่งเราคงเคยได้ยินว่า “พระราหูกำลังจะย้ายครั้งยิ่งใหญ่” ให้เตรียมไหวแล้วจะเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีพระราหูกับความเชื่อทางโหราศาสตร์ในคติความเชื่อทางวิชาโหราศาสตร์กล่าวว่า พระราหูหรือดาวราหู คือเทพเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติ ถ้าดาวราหูจนเข้าอายุจรของบุคคลใดก็ตาม หรือเข้าทับลัคนา หรือลัคน์วัย จะส่งผลให้ชีวิตของบุคคลนั้นพบกับอุปสรรค ความวุ่นวาย การเปลี่ยนแปลง หนี้สิน และความเจ็บป่วย หรืออย่างใดอย่างหนึ่งพระราหูกับความเชื่อของชาวพุทธชาวพุทธมีความเชื่อเกี่ยวกับพระราหูคล้ายกับความเชื่อทางโหราศาสตร์ในเรื่องการเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อว่าพระราหูจะช่วยเปลี่ยนแปลงปัดเป่าเรื่องร้าย กลายเป็นดี โดดเด่นเรื่องเมตามหานิยม โชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจ และเสนียดจัญไร ประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้าด้านหน้าที่การงานพระราหู เทพอสูรองค์เทพราหูมีอิทธิฤทธิ์สูงมาก บารมีสูงส่ง ด้วยความเป็น “แฑตย์” หรือยักษ์อสูรมาแต่ชาติกำเนิด ภายหลังได้มาทำหน้าที่เป็นเทวดานพเคราะห์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ครองเรือนชะตาของมนุษย์ที่มีต้นกำเนิดความเชื่อนี้มาจากโหราศาสตร์ฮินดู ทั้งยังเป็นเทพที่บันดาลโชคและทรัพย์ให้กับคนได้ มนุษย์จึงนิยมบูชาด้วยเครื่องสีดำ 8 อย่าง หรือ 12 อย่าง ทั้งของคาวและของหวาน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน วันเสาร์ และวันอังคาร เนื่องจากเป็นวันของตนเอง จากนั้นกล่าวบทสวดไหว้พระราหู เริ่มจากตั้งนะโม 3 จบ แล้วสวดดังนี้บทสวดบูชาพระราหูกินนุ…

ทำไมพระราหูต้องกลืนกินพระจันทร์และพระอาทิต

ทำไมพระราหูต้องกลืนกินพระจันทร์และพระอาทิตย์ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ในอดีตมักจะถูกอธิบายด้วยเรื่องเล่าตำนานและความเชื่อ ก่อนที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักกับคำว่าวิทยาศาสตร์ที่นำมาอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับ “ตำนานราหูอมจันทร์” และ “ตำนานราหูอมพระอาทิตย์” มาคู่กับปรากฏการณ์จันทรุปราคาและสุริยุปราคา พร้อมกับความเชื่อที่ว่าพระราหูเป็นผู้กลืนกินพระจันทร์และพระอาทิตย์ เราจะไปทำความรู้จักพระราหูว่าคือใครและทำไมต้องกลืนกินพระจันทร์และพระอาทิตย์ด้วยต้นกำเนิดพระราหูตำนานการกำเนิดพระราหูมีอยู่มากมายหลายตำรา แต่ที่มักจะได้ทราบได้เห็นกันบ่อย ๆ คือ 3 ตำราที่กล่าวไว้ดังนี้พระราหูสร้างจากผีโขมด 12 ตัว บดป่นจนเป็นผง ห่อผ้าสีทองแล้วพรมน้ำอมฤตจนได้พระราหูที่มีกายสีนิลออกไปทางทองแดงพระราหูเป็นโอรสของท้าวเวปจิตติกับนางสิงหิกาพระราหูเป็นโอรสของพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกาลักษณะของพระราหูพระราหูที่พบเจอตามตำนานในไทย มักจะมีร่างกายเพียงครึ่งท่อนบน ได้แก่ ศีรษะ คอ ไหล่ อก และแขนสองข้าง มีลักษณะเป็นยักษ์ ดวงตาโปน อ้าปากกว้าง มีเขี้ยวยาวโง้ง แลดูดุร้าย และสวมมงกุฎ โดยสร้างในลักษณะเดียวกันคือกำลังอมพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ตำนานความเชื่อพระราหูอมพระจันทร์และพระอาทิตย์ในความเชื่อทางฝ่ายพราหมณ์กล่าวเล่าว่าเมื่อพิธีกวนน้ำอมฤตสำเร็จแล้ว ฝ่ายเทพฉวยโอกาสยึดเอาผอบน้ำอมฤตไปและผิดสัญญาต่อฝ่ายอสูร จึงเกิดเทวสุรสงครามเพื่อแย่งชิงน้ำอมฤตนี้ พระนารายณ์ทรงเข้ามาแก้เหตุเฉพาะหน้าไกล่เกลี่ย โดยแปลงร่างเป็นสาวงามนามว่า “โมหิณี” รับอาสาว่าจะเป็นผู้แบ่งทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรม แต่ด้วยความที่เข้าข้างฝ่ายเทพด้วยกัน ฝ่ายเทพได้รับน้ำอมฤตก่อนและส่งต่อให้แก่เทพด้วยกันดื่มต่อ ๆ กัน ปล่อยให้ฝ่ายอสูรเฝ้ารออยู่นานด้วยบรรดาฝ่ายอสูรทั้งหมดคงจะมีเพียงเฉพาะพระราหูตนเดียวที่รู้ทันเล่ห์เพทุบายนี้ของฝ่ายเทพ จึงแปลงร่างเป็นเทพเข้าไปนั่งปะปนแทรกอยู่ระหว่าง

กระบี่เจ็ดดาว เทพศาสตราแห่งเซียนหลี่ตงปิง

กระบี่เจ็ดดาว วัตถุมงคลที่ชาวจีนยกให้เป็นอีกหนึ่งในเครื่องรางที่สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายและปรับฮวงจุ้ยภายในบ้านได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเรียกทรัพย์และเงินทองให้เข้าบ้านได้อีกด้วย โดยคนไทยก็นิยมนำมาบูชาวางเป็นเครื่องรางประดับโต๊ะทำงาน หน้ารถ ประตูบ้าน หรือบูชาบนหิ้งพระอีกด้วย แล้ววันนี้เราได้นำเอาประวัติรวมไปถึงพุทธคุณต่าง ๆ ของกระบี่เจ็ดดาว มาให้คุณได้รู้จักกัน ซึ่งจะมีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้างนั้นก็มาดูกันได้เลย ประวัติ กระบี่เจ็ดดาว             กระบี่เจ็ดดาว ของเหมาซาน เป็นกระบี่ที่สืบทอดมาจาก หลี่ทงปิ่น หรือ โป๊ยเซียนโจวซือหลี่ทงปิ่น นั่นเอง โดยท่านผู้นี้ถือเป็นหนึ่งใน 8 เซียนของจีน ที่ถูกกล่าวขานและได้รับการเคารพบูชามาอย่างยาวนานซึ่งสาเหตุที่ท่านมีกระบี่วิเศษเล่มนี้ก็มาจากการหล่อหลอมรวมกันของพลังสุริยะจันทราในบ่อเหล็กเย็น ซึ่งได้ซึมซับเป็นเวลาหลายล้านล้านปี โดยในวันที่หลี่ทงปิ่นสำเร็จเป็นเซียน เป็นวันเดียวกันกับที่กระบี่นั้นก็หล่อหลอมรวมกันสำเร็จ ทำให้ท่านได้กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธพิเศษติดตัว             ซึ่งสาเหตุที่กระบี่มี 7 ดาว ก็เป็นเพราะว่าบ่อเหล็กเย็นได้ซึมซับพลังไอสุริยะจันทราจาก 7 ดาวบนฟ้าให้กลายมาเป็นใบที่มี 7 ดาวอยู่บนกระบี่ เมื่อกระบี่พุ่งขึ้นจากบ่อเหล็กเย็น ค้างคาวหมื่นปีที่จำศีล จนได้สำเร็จเป็นเซียนได้เห็นการกำเนิดสิ่งนี้ ขึ้นจึงบินไปที่กระบี่และได้เป็นเทพารักษ์พิทักษ์กระบี่เล่มนี้ นั่นจึงทำให้กั่นของใบมีดเป็นรูปค้างคาวหมื่นปี และในส่วนของด้ามเป็นวันที่กระบี่สำเร็จออกมาเทพโอสถหรือ ท้อ เชื่อว่ามีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ ได้เห็นกระบี่เกิดขึ้นมาบนโลก จึงได้สละตัวเองเป็นด้ามกระบี่ บวกกับหลี่ทงปิ่นที่ได้กรีดเลือดของตัวเองลงในบ่อเหล็กเย็น จึงได้หล่อหลอมรวมกันกลายเป็นกระบี่ที่เป็นของวิเศษคู่กายของท่าน และหากชักออกจากฝักจะสามารถกลับคืนเข้าฝักตัวเองได้เช่นเดียวกับค้างคาวที่สามารถบินกลับเข้าหาฝักได้นั่นเอง กระบี่เจ็ดดาว พุทธคุณ            …